
เทศกาลอ็อกโทเบอร์เฟสต์ (Oktoberfest) จบด้วยการเมาหัววันยันเที่ยงคืน เช้านี้ได้เวลาแยกย้าย พี่ต่อกับเจ๊เหวนั่งรถไฟกลับมานไฮม์ (Mannheim) ตั้งแต่ 7 โมง

ส่วนฉันตื่นสาย จัดแจงคืนกุญแจเสร็จสรรพ ลากกระเป๋าเดินทางคู่ใจลงรถไฟใต้ดิน
จากสถานีโรเซนไฮเมอร์ พลัตซ์ (Rosenheimer Platz) เราสามารถนั่งตรงไม่ต้องเปลี่ยนสายไปสถานีฟลุกฮาเฟ่น (Flughafen) อันเป็นหนึ่งในคำเยอรมันที่จำขึ้นใจเพราะมันแปลว่า “สนามบิน” การเดินทางในวันนี้แสนสะดวก ไม่หลงเป็นแน่แท้
แต่แล้วรถไฟก็หยุดที่สถานีอิสมานิ่ง (Ismaning) ซึ่งเป็นสถานีก่อนถึงฟลุกฮาเฟ่น พร้อมเสียงประกาศเป็นภาษาเยอรมัน กะเทยหูดับเพราะฟังไม่ออกเลย ทุกคนในขบวนลุกขึ้นและเดินออกพร้อมเสียงบ่นพึมพำ ฉันรู้ทันทีว่ารถไฟมีปัญหา ก็ลากกระเป๋าลงมากับผู้โดยสารท่านอื่นที่พอจะเดาได้จากสัมภาระว่าคงไปสนามบินเช่นกัน
สัญชาตญาณบอกว่าให้เดินตามผู้คนไป เนื่องจากเป็นสถานีเล็กชานเมืองจึงไม่พบเจ้าหน้าที่ให้ซักถาม พอจะอ้าปากถามคนข้างๆ ที่เดินลากกระเป๋าอยู่ด้วยกัน ทุกคนก็ตอบด้วยสายตาว่า “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”
แต่จากประสบการณ์ ฉันเดาว่าประเทศโลกที่หนึ่งอย่างเยอรมนี หากเกิดเหตุสุดวิสัยแบบนี้ต้องมีรถบัสมารับผู้โดยสารต่อ
และฉันเดาถูก รถบัสมาจอดรอแล้ว ทว่าตอนนี้รถบัสทั้งสองคันเต็มล้นและไม่สามารถรับคนได้อีก นี่คือสิ่งที่ฉันไม่ได้เดา จากผู้โดยสารรถไฟที่ถูกทิ้งร่วมร้อยคน บัดนี้เหลือเพียง 5 ชีวิตที่ยืนมองหน้ากัน
และเราทั้งหมดเป็นเอเชีย
เรื่องบางเรื่องจะเกิดกับคนบางคนเท่านั้น…
จากลักษณาการงุนงงของเอเชียทั้งห้าที่ขึ้นรถไม่ทัน คนขับแท็กซี่หน้าละม้ายแขกตุรกีเดินมาเสนอราคาว่าจะพาไปสนามบิน คนละ 30 ยูโร หนุ่มชาวจีนพยักหน้า ฉันรีบแย้งว่าแพงเกินไป จนกระทั่งมีอีกสองคันมาตัดราคา เสนอว่าคนละ 10 ยูโร แบ่งกันไปสองคัน เราจึงตกลง
แท็กซี่ทั้งสองคันขับตามกันไป พ่อแม่ลูกชาวญี่ปุ่นอยู่คันแรก ส่วนฉันกับหนุ่มชาวจีนอยู่คันที่สอง เรานั่งคุยกันระหว่างทาง
หนุ่มจีนมาเรียนด้านวิศวะอยู่ที่มิวนิกและกำลังจะบินกลับบ้านที่จีน เราคุยกันเพลินด้วยภาษาอังกฤษแบบเอเชีย แลกเฟสบุ๊กกันพอให้ได้ผูกมิตรใหม่ 20 นาทีต่อมาก็ถึงสนามบิน ฉันจ่ายค่าแท็กซี่ไปก่อน 20 ยูโรเพราะพี่จีนไม่มีแบงก์ย่อย เขาจะขอไปซื้อกาแฟเพื่อแตกแบงก์มาให้
พอถึงสนามบิน ฟารีดาจัดแจงเปิดกระโปรงหลัง ยกกระเป๋าตัวเองและพบเรื่องตื่นเต้นที่รู้สึกตะหงิดๆ ตั้งแต่ก่อนขึ้นรถ …
กระเป๋าอีกใบที่อยู่ท้ายรถไม่ใช่ของหนุ่มจีน แต่เป็นของชาวญี่ปุ่นครอบครัวนั้น ในหัวก้องเสียงแบ็กกราวด์มิวสิกแบบในหนัง ดึ่ง ดะดึ่ง ดึ่งงง ฉันเงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าพี่จีนเหวอหนักมาก
เรื่องตื่นเต้นอันดับถัดมา เราคือแท็กซี่ที่มาถึงเพียงคันเดียว รอไปแล้ว 10 นาทีอีกคันก็ยังไม่มา เมื่อขอให้โทรถามอีกคัน เขาส่ายหัว มีเฉลยจากคนขับแท็กซี่ด้วยว่าทั้งสองคันไม่รู้จักกัน แค่ผ่านมาแล้วตกลงกันได้ว่าจะแบ่งผู้โดยสารกลุ่มนี้ ด้านพี่จีนร้องโอ้มายก้อด โอ้มายก้อด
เรื่องตื่นเต้นอันดับสุดท้าย สนามบินมิวนิกมี 2 เทอร์มินอล มีประตูส่งผู้โดยสารมากกว่า 11 จุด เราไม่มีทางรู้เลยว่าแท็กซี่อีกคันพาครอบครัวญี่ปุ่นไปปล่อยจุดไหน
พี่จีนบอกให้ฉันแยกไปได้เลยเพราะมีกระเป๋าแล้ว แต่ฉันยืนยันจะช่วยก่อน เลยบอกให้เขาวิ่งไปถามที่ Information ส่วนกะเทยไทยจะยืนรอตรงนี้เผื่อว่าอีกคันจะตามมา พี่จีนตกลงแล้วรีบวิ่งไป
สถานการณ์ตอนนี้ฟารีดายืนอยู่พร้อมกระเป๋าสองใบ หนึ่งใบของตัวเอง อีกใบของชาวญี่ปุ่นที่ไม่รู้ตอนนี้อยู่ไหน
พี่จีนวิ่งกลับมาในสภาพเหนื่อยหอบ พูดจาวนไปมา เครียดหนักเพราะเคาน์เตอร์เช็กอินของไชน่าแอร์ไลน์จะปิดในอีกครึ่งชั่วโมง
ทันใดฉันเหลือบไปเห็นสติกเกอร์ติดอยู่ที่กระเป๋าใบนั้นของครอบครัวญี่ปุ่นที่สลับมา สัญลักษณ์กลีบกล้วยไม้สีม่วงที่คุ้นเคย ใช่แล้ว การบินไทย รักคุณเท่าฟ้า แต่วันนี้ฟ้าจะได้บินหรือไม่ พ่อต้องช่วยฟ้าก่อน
เรารีบวิ่งหาเคาน์เตอร์การบินไทย ในหัวฉันครุ่นคิด ถ้าพวกเขาบินมาด้วยการบินไทยก็เป็นไปได้สูงว่าจะกลับด้วยการบินไทย ได้แต่หวังว่าคุณญี่ปุ่นคงจองตั๋วแบบไปกลับ
เมื่อถึงแถวเช็กอินการบินไทย เรากลับไม่เจอครอบครัวญี่ปุ่น ณ เวลานั้นฉันอยากถือวิสาสะเปิดกระเป๋าใบนั้นมากแต่ห้ามใจไว้ สิ่งที่อยากรู้คือคุณญี่ปุ่นชื่ออะไร ถ้าเขาบินไฟลต์นี้จริง ทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก
สีหน้าของพี่จีนหมดหวัง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาอยู่เรื่อยๆ เขาทำใจแล้วว่า กว่าจะเจอกระเป๋า กว่าจะเช็กอิน อย่างไรก็ไม่ทันขึ้นเครื่องแน่นอน ขณะที่สมองกำลังวิ่งพล่าน เสียงประกาศดังขึ้น
“Mr. Zhu Donghao, please contact the information counter.”
ทั้งสองคนพุ่งตัวด้วยความไวแสง เสมือนวิญญาณยูเซน โบลต์และทริเซีย โรเบิร์ตเข้าสิง ใช่ค่ะดิฉันเป็นคนหลัง
จากระยะไกล พ่อแม่ลูกชาวญี่ปุ่นทั้งสามร้องลั่นเมื่อเห็นเราสองคนวิ่งไปแลกกระเป๋าคืน ฉันสงสัยทันที
ชาวญี่ปุ่นรู้ชื่อพี่จีนได้อย่างไร
พี่จีนไม่เคยรู้เลยว่ากระเป๋าตัวเองติดชื่อไว้ มันคือสติกเกอร์ขนาดจิ๋วของไฟลต์ก่อนที่ลืมแกะออก เดชะบุญที่ไม่หลุดไประหว่างทาง
เราแทบไม่มีเวลาร่ำลาใดๆ เพราะตอนนี้ต้องลุ้นแต่ว่าทุกคนจะไปขึ้นเครื่องทันหรือไม่
แต่แล้วทุกอย่างก็จบลงสวยงาม ครอบครัวญี่ปุ่นกับฉันขึ้นไฟลต์การบินไทยเหมือนกัน เราได้บอร์ดเป็นคนสุดท้าย

คุณมะยูมิผู้เป็นแม่กล่าวขอบคุณฉันตลอดการเดินทางในไฟลต์นั้น เมื่อถึงสุวรรณภูมิทั้งสามคนต้องเปลี่ยนเครื่องไปโตเกียว เรามีโอกาสได้ถ่ายรูปกันเล็กน้อยเป็นที่ระลึกการผจญภัยสนามบินมิวนิก
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะรถไฟขบวนนั้นเสียกลางทาง
ส่วนคุณดงเฮาชาวจีน ส่งข้อความภาษาอังกฤษมาในเฟสบุ๊กที่เราแลกกันไว้ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ เขาดูซึ้งในน้ำใจกะเทยไทย พร้อมทิ้งท้ายด้วยข้อความที่ฉันเองก็ลืมไปสนิท
“ฟาโรส ฉันลืมจ่ายเงินเธอ ค่าแท็กซี่ 10 ยูโร ไว้เจอกันที่ไทยนะ”
เทปที่เกี่ยวข้อง